ต้อหิน เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะตาบอดอันดับ 2 ของประเทศไทย รองจากต้อกระจก
“ต้อหิน” คืออะไร
“ต้อหิน” เป็นกลุ่มโรคที่มีความเสื่อมของขั้วประสาทตาอย่างต่อเนื่อง โดยระยะเริ่มต้น จะส่งผลให้การมองเห็นในส่วนของลานสายตาเสียไป คือแคบลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายการมองเห็นในส่วนของความคมชัดของสายตาลดลงจน มองไม่เห็นในที่สุด
กลุ่มเสี่ยงโรคต้อหิน
- อายุมากกว่า 40 ปี
- มีญาติสายตรงเป็นต้อหิน
- ความดันลูกตาสูง
- สายตาสั้น หรือยาวมากๆ
- เคยมีอุบัติเหตุที่ดวงตามาก่อน เช่น โดนชก ลูกบอลอัดตา ยางรัดตา หรือ อุบัติเหตุจราจรที่มีใบหน้าบริเวณเบ้าตาโดนกระแทก เป็นต้น
- ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์
- สาเหตุอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
ชนิดของต้อหิน แบ่งตามสาเหตุมี 2 ชนิด คือ
-
ต้อหินชนิดปฐมภูมิ เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นเอง นั่นคือการเสื่อมไปตามอายุ ทำให้การมองเห็นค่อยๆ แย่ลงเรื่อยๆ หากเรามีอายุยืนยาวถึง 120 ปี ทุกคนจะเป็นโรคต้อหินกันหมด เพราะเป็นความเสื่อมตามวัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
-
ต้อหินชนิดทุติยภูมิ คือ ต้อหินที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น อุบัติเหตุบริเวณรอบดวงตา การใช้ยาสเตียรอยด์ เบาหวานขึ้นจอตา การอักเสบภายในลูกตา เป็นต้น
การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์ จะขึ้นกับชนิดของต้อหินและระยะของโรค
-
เครื่องเลเซอร์ชนิด YAG Laser รักษาต้อหินโดยสามารถใช้ทำ Iridotomy (รูเปิดขนาดเล็กที่ม่านตา) เพื่อช่วยในการป้องกันและรักษาต้อหินแบบมุมปิด โดยใช้เลเซอร์ยิงเพื่อให้น้ำในลูกตาระบายได้ดีขึ้น (Yag laser peripheral iridotomy) และสำหรับหลังการผ่าตัดต้อกระจกคือเลเซอร์ขัดเยื่อหุ้มเลนส์ในผู้ป่วยถุงหุ้มเลนส์ขุ่นซึ่งทำเสร็จก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ (Yag laser capsulotomy)
2 .เครื่องเลเซอร์ชนิด Argon laser เพื่อรักษาโรคต่างๆทางจอประสาทตาและต้อหินเช่น เบาหวานขึ้นจอประสาทตา รอยฉีกขาดที่จอประสาทตา จอประสาทตาบวม
ก่อนการรักษา
จักษุแพทย์จะประเมินว่าก่อนทุกครั้ง ว่าผู้ป่วยสามารถใช้วิธีการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ได้หรือไม่
หลังการรักษา
แพทย์จะให้นอนพักเพื่อติดตามอาการเพียง 30 นาที หลังจากนั้นผู้ป่วยสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้าน และสามารถล้างหน้าได้ตามปกติ