ยารักษามะเร็งในปัจจุบัน (Systemic therapy)
Home
»
Knowledge of Health
» ยารักษามะเร็งในปัจจุบัน (Systemic therapy)
ยารักษามะเร็งในปัจจุบัน (Systemic therapy)
ในปัจจุบัน ด้วยวิวัฒนาการและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปมาก เมื่อเทียบกับไม่กี่สิบปีที่แล้ว ทำให้มีความรู้ซึ่งนำมาสู่การพัฒนาการรักษาโรคต่างๆอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงโรคมะเร็งด้วย
การใช้ยาเพื่อรักษาโรคมะเร็งนั้น แบ่งตามวัตถุประสงค์ดังนี้
- การรักษาก่อนผ่าตัด (Neoadjuvant treatment) เพื่อที่จะช่วยให้การผ่าตัดง่ายยิ่งขึ้น ทำให้จากผ่าตัดไม่ได้เป็นผ่าตัดได้ จากผ่าตัดมาก เป็นผ่าตัดน้อย
- การรักษาเสริม (Adjuvant treatment) แม้ว่าการผ่าตัด จะเป็นการเอามะเร็งเกือบทั้งหมดออกไปจากร่างกาย แต่ยังมีมะเร็งบางส่วนที่เล็กมาก และอยู่ในระบบเลือดและน้ำเหลือง ทำให้มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นโรคซ้ำได้ การรักษาเสริม จึงช่วยลดโอกาสที่โรคจะกลับมาใหม่ได้ และเพิ่มโอกาสหายขาดของมะเร็ง
- การรักษาร่วมกันกับการฉายแสง (Concurrent chemoradiation) ในผู้ป่วยบางรายที่ไม่มีการแพร่กระจายของตัวโรคไปทั่วร่างกาย แต่ตัวโรคเองก็ผ่าตัดโดยความยากลำบาก หรือโอกาสสำเร็จไม่สูง จะพิจารณาให้การรักษาด้วยการฉายแสง และให้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการฉายแสง
- การรักษาในผู้ป่วยที่มีการแพร่กระจายของตัวโรค (Palliative aim) มีจุดประสงค์เพื่อ ลดอาการ ให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และเพิ่มระยะเวลาการมีชีวิตอยู่ของผู้ป่วย
ในปัจจุบัน มียาอะไรบ้าง
- ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy)
เป็นยาที่อยู่คู่กันกับโรคมะเร็งมานาน โดยตัวยาจะเป็นพิษต่อเซลล์ ทั้งในเนื้อร้าย และในอวัยวะต่างๆของร่างกายเราเอง โดยมีข้อดีคือใช้ได้หลากหลายที่สุด มีมานาน จึงมั่นใจในความปลอดภัยได้ เนื่องจากรู้จักผลข้างเคียงมาอย่างดี แต่มีข้อเสียคือ มีผลข้างเคียงมาก
- ยาต้านฮอร์โมน (Hormonal Treatment)
นับเป็นยามุ่งเป้าแบบหนึ่ง ซึ่งผลข้างเคียงน้อยที่สุด สามารถใช้ได้ในมะเร็งบางชนิดที่ถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม ที่มีตัวรับฮอร์โมน (hormone receptor positive breast cancer) หรือมะเร็งต่อมลูกหมากในช่วงแรกๆ
- ยามุ่งเป้า (Targeted therapy)
ในปัจจุบัน มีการค้นพบกลไกในการเกิดมะเร็งมากขึ้น จึงได้มีการพัฒนายา ซึ่งจำเพาะต่อกลไกในการเกิดต่างกันในมะเร็งต่างๆ เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของยา และลดผลข้างเคียง อันเกิดมาจากยา
ซึ่งยามุ่งเป้านี้เอง มีทั้งแบบกินและแบบฉีด ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละชนิดของมะเร็ง และในมะเร็งชนิดเดียวกัน ในผู้ป่วยคนละคน อาจมีเป้าไม่เหมือนกันด้วย

การตรวจสารพันธุกรรม (whole genome sequencing) เพื่อหาการกลายพันธุ์และความผิดปกติในปัจจุบัน ราคาถูกลงมาก และยังใช้เวลาลดลงอย่างมาก จึงกลายเป็นกระแสที่จะมีการตรวจมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี พบว่าแม้มีการกลายพันธุ์หรือมีความผิดปกติ แต่บ่อยครั้ง ความผิดปกตินั้น ก็ไม่ใช่สาเหตุของการเกิดโรค จึงยังไม่สามารถที่จะกล่าวได้ว่าจำเป็นจะต้องทำในผู้ป่วยทุกราย
- สารเภสัชรังสี (Therapeutic Radiopharmaceuticals) แค่ฟังชื่อ แม้แต่หมอบางคน ได้ยินแล้วก็ยังคงมึนๆ การใช้สารเภสัชรังสีนั้น จะเป็นการรักษาโดยแพทย์เวชศาสตร์นิวเคลียร์ โดยเป็นสารกัมมันตภาพรังสี ที่มีความจำเพาะต่ออวัยวะเฉพาะจุด เข้าไปทำลายเนื้อร้ายของอวัยวะนั้นๆ เช่น Iodine-131 ในมะเร็งไทรอยด์, Radium-223 ในการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากลามมากระดูก หรือ Yttrium-90 ในมะเร็งตับและมะเร็งลำไส้ที่ลามมาตับ เป็นต้น
- ยารักษาด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy)
นับเป็นความหวังล่าสุดของผู้ป่วยมะเร็ง ในการพัฒนายาใหม่ขึ้นมา เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง และผลข้างเคียงต่ำ เพราะเป็นการบอกภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเอง ให้ไปทำลายมะเร็ง ซึ่งในปัจจุบัน ยาที่มีหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอ และได้รับการอนุมัติให้ใช้ได้ทั่วโลกแล้ว ได้แก่
- Anti PDL-1:
- Nivolumabซึ่งได้รับการอนุมัติใน มะเร็งเม็ดสีผิวหนัง (Malignant Melanoma), มะเร็งปอด (Non-Small Cell Lung Cancer), มะเร็งไต (Renal Cell Carcinoma), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Hodgkin´s Lymphoma), มะเร็งของศีรษะและลำคอ (Head and Neck Cancer), มะเร็งทางเดินปัสสาวะ (Urothelial Carcinoma), มะเร็งลำไส้ใหญ่ บางราย (Colorectal Cancer)
- Pembrolizumab ซึ่งได้รับการอนุมัติใน มะเร็งเม็ดสีผิวหนัง (Malignant Melanoma), มะเร็งปอด (Non-Small Cell Lung Cancer), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Hodgkin´s Lymphoma), มะเร็งของศีรษะและลำคอ (Head and Neck Cancer), มะเร็งทางเดินปัสสาวะ (Urothelial Carcinoma)
- Anti PD-1:
- Atezolizumabซึ่งได้รับการอนุมัติใน มะเร็งปอด (Non-Small Cell Lung Cancer), มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
จากข้อมูลของ องค์กร free to breathe มีภาพแสดงให้เห็นถึงหลักการการทำงานของยาแบบเข้าใจง่ายๆ

เม็ดเลือดขาวมีหน้าที่ทำลายสิ่ง แปลกปลอมในร่างกาย
 |
 |
แต่บางครั้ง เซลล์มะเร็งจะสร้างโปรตีนที่ทำให้เม็ดเลือดขาวมองไม่เห็น เปรียบเสมือนมีผ้ามาปิดตา
|
 |
|
ยา Immunotherapy จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เม็ดเลือดขาวถูกปิดตาได้ จึงสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ตามปกติ
|
แต่อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่ายากลุ่มนี้ ยังไม่สามารถใช้ได้ในมะเร็งทุกชนิด และมะเร็งชนิดที่ได้รับการอนุมัติแล้วก็ยังต้องมีการตรวจชิ้นเนื้อเพิ่มเติม ว่ามีตัวรับที่จะสามารถใช้ยาดังกล่าวได้
โดยสรุป การรักษาทั้งหมดนี้ ควรที่จะใช้ยาที่มีหลักฐานการวิจัยแล้วว่า ใช้ได้ผลจริง และมีผลเสียต่อตัวผู้ป่วยมากกว่าประโยชน์ที่ได้ มิใช่มีเพียงคำพูดที่พูดต่อๆกันมา หรือเป็นคำโฆษณา เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อตัวผู้ป่วยเอง