Q : การป้องกันไข้หวัดใหญ่ทำอย่างไรบ้าง?
A : - ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกัน เพราะวิธีนี้สามารถป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทั้งสายพันธุ์เอและบี ซึ่งในการฉีดครั้งแรกของชีวิต (หากอายุน้อยกว่า 9 ปี ต้องฉีด 2 เข็มห่างกัน 1 เดือน จากนั้นกระตุ้นทุกปี ปีละ 1 ครั้ง แนะนำก่อนเปิดเทอมใหญ่หรือก่อนเข้าฤดูฝน)
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย เพราะเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่นั้นสามารถติดต่อกันได้ง่ายมาก
- หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่แออัด หรือมีคนเยอะ
- ล้างมือให้บ่อยครั้งขึ้นและควรล้างมือให้สะอาด
- ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บีควรใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการจามหรือไอรดผู้อื่น
Q : โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี มีอาการอย่างไร?
A : - ผู้ป่วยจะมีไข้สูง 38 - 40 องศาเซลเซียส
- ปวดเมื่อยตามตัว
- คัดจมูก มีน้ำมูก เจ็บคอและไอ(อาจมีหรือไม่มีอาการนี้ก็ได้)
- หากมีภาวะแทรกซ้อนก็จะเกิดภาวะปอดอักเสบและอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉลี่ยระยะเวลาป่วยประมาณ 6-7 วัน
Q : โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี ติดต่อได้อย่างไร?
A : สามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสสารคัดคลั่ง อาทิ น้ำมูก เสมหะ การไอจามรดกัน อาการป่วยจะเป็นแบบเฉียบพลัน
Q : กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อไข้หวัดใหญ่เป็นพิเศษคือใครบ้าง?
A : - ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง
- โรคหอบหืด
- โรคหัวใจ
- โรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี
- ผู้สูงอายุ
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีดัชนีมวลกายเยอะหรือโรคอ้วน เป็นต้น
Q : ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี แพร่ระบาดอย่างไร?
A : โรคไข้หวัดใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งปี แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บีครั้งนี้เป็นไข้หวัดตามฤดูกาล โดยส่วนมากจะระบาดในช่วงฤดูหนาว เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะเจริญเติบโตได้ดีในอากาศเย็น ซึ่งพบมากที่สุดช่วงเดือนธันวาคมและมกราคม และฤดูฝน คือ ช่วงเดือนสิงหาคม และสามารถพบได้ทุกช่วงวัย
Q : ไข้หวัดใหญ่มีกี่สายพันธุ์
A : - ไข้หวัดใหญ่แบ่งออกเป็นสายพันธุ์ใหญ่ ๆ 3 สายพันธุ์ คือ เอ บี และซี ซึ่งสายพันธุ์ซี มีความรุนแรงน้อยที่สุด สำหรับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอและบี เป็นสายพันธุ์ที่พบได้ทั่วโลก แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอมักจะรุนแรงมากกว่า
Q : มีการดูแลรักษาโรคภูมิแพ้ในเด็กอย่างไรบ้าง?
A : - หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่(ยกเว้นอาหารที่แพ้)
- การรักษาด้วยยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
Q : อาการของโรคภูมิแพ้ในเด็กมีอะไรบ้าง?
A : อาการของโรคภูมิแพ้เกิดได้หลายระบบ ดังนี้
- ระบบผิวหนัง
ผิวหนังแห้ง ผื่นคัน ผื่นลมพิษเป็นๆหายๆ
- ระบบทางเดินหายใจ
เป็นหวัดบ่อยหรือมีอาการเป็นบางเวลา เป็นหวัดเรื้อรังหรือเป็นไซนัสอักเสบ มีอาการไอบางเวลา เช่น อากาศเปลี่ยนแล้วไอ ไอเวลากลางคืน หากมีอาการรุนแรงอาจมีอาการของหอบหืดตามมา เช่น หายใจเร็วและแรง หายใจมีเสียง “วี๊ด” หอบเหนื่อย แน่นหน้าอก เป็นต้น
- ระบบทางเดินอาหาร
ริมฝีปากบวม มีผื่นคันรอบปาก คลื่นไส้ อาเจียน แหวะนมบ่อยในเด็กทารก ท้องอืด ถ่ายเหลว
Q : โรคภูมิแพ้ในเด็กเกิดจากอะไรบ้าง?
A : 1. การถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น ถ้าพ่อแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกก็จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้มากกว่าคนอื่นหลายเท่า
2. สิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น สัตว์เลี้ยง แมลงสาบ ควันบุหรี่ รวมถึงอาหารบางอย่างก็สามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย เช่น อาหารทะเล นมวัว ไข่ แป้งสาลี ถั่วลิสง เป็นต้น