ร่างกายของมนุษย์ในหนึ่งเซลล์ประกอบด้วยยีนประมาณ 30,000 ชนิด ในจำนวนนี้มียีนที่เราสามารถศึกษาถึงหน้าที่การทำงานได้เพียง 4,000-10,000 ชนิด ซึ่งเป็นยีนที่มีความสัมพันธ์กับมะเร็งที่เราสามารถศึกษาค้นพบได้เพียงไม่กี่ร้อยชนิดในเซลล์หนึ่งเซลล์ของร่างกายจะมียีนที่ทำหน้าที่ต่างๆกันไปอย่างต่อเนื่องกัน เพื่อให้เซลล์นั้นมีการแบ่งตัวมีการเจริญเติบโต และยังมียีนที่คอยควบคุมให้เซลล์นั้นหยุดการแบ่งตัว หยุดการเจริญเติบโตหรือควบคุมการตายของเซลล์ ซึ่งเป็นไปอย่างสมดุลจากการศึกษายีนในเซลล์มะเร็งที่ได้จากก้อนเนื้อมะเร็งพบว่า ยีนพวกนี้มีความผิดปกติหรือมีการกลายพันธุ์ไป กล่าวคือ เราสามารถตรวจพบได้ว่าจากการทำงานที่ผิดปกติไปนั้นเนื่องมาจากมีส่วนประกอบของยีนบางส่วนขาดหายไป เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือยีนมีการสร้างโปรตีนซึ่งเป็นผลิตผลที่เกิดจากการทำงานของยีนนั้นมากกว่าปกติหรือเราสามารถตรวจพบได้ว่า เซลล์มะเร็งนั้นมียีนที่มีหน้าที่ในการสร้างเส้นเลือดใหม่มาเลี้ยงตัวเอง เพื่อให้เซลล์มีชีวิตอยู่ได้เองเรียกว่า VEGF (Vascular Endothelial Growth Factor) ซึ่งก็หมายความว่าเซลล์มะเร็งนั้นมีการทำงานมากกว่าปกติ ทำให้เซลล์มะเร็งนั้นสามารถแบ่งตัวและเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้น ถ้าหากเราสามารถตรวจหายีนที่มีความผิดปกติที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งได้ เราก็จะสามารถรักษามะเร็งได้อย่างตรงเป้าหมายและทำให้มีประสิทธิภาพในการรักษาดีขึ้นด้วย โดยที่ไม่ทำให้เกิดผลกระทบกับร่างกายส่วนที่ไม่มีความผิดปกติส่วนอื่นๆเลย
โรคมะเร็ง ไม่ใช่โรคที่ทำให้เกิดอาการปัจจุบันทันด่วน มะเร็งระยะแรกเริ่มจึงไม่มีอาการ ลักษณะของอวัยวะที่เป็นก็ไม่มีอาการให้เห็นด้วยตาเปล่ากว่าที่โรคมะเร็งจะก่อให้เกิดอาการหรือปัญหาต่างๆ บางครั้งโรคอาจจะลุกลามจนทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้
โรคมะเร็งเริ่มต้น มีอาการผิดปกติที่สังเกตได้ชัดเจน คือ น้ำหนักตัวลดลง คลำพบก้อนเนื้อและมีอาการประกอบอื่นๆ เช่น มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำหรืออุจจาระเป็นเลือด กลืนอาหารลำบากหรือมีอาการจุกเสียด แน่นท้องเป็นเวลานาน เสียงแหบและไอเรื้อรัง หาสาเหตุไม่ได้ มีเลือดออกทางช่องคลอดหรือมีตกขาวที่ผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น มีแผลเรื้อรังซึ่งรักษาแล้วหายยากและขยายวงกว้างขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝตามร่างกาย คลำพบก้อนเนื้อที่บริเวณเต้านมหรือที่ส่วนของร่างกาย หูอื้อหรือมีเลือดกำเดาไหล อาการเหล่านี้เป็นอาการ “ผิดปกติ” ที่ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์ให้ละเอียด การป้องกันและตรวจพบในระยะแรกเป็นวิธีที่ดีที่สุดจะรักษาโรคมะเร็งให้หายขาดได้
ในปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีทีสามารถนำมาใช้ตรวจหายีนที่มีความผิดปกติในเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆได้หลายชนิดแล้ว เช่น การตรวจหาโปรตีนที่ยีนนั้นๆผลิตออกมา ซึ่งเรียกเทคนิคนี้ว่า Immunohistochemical Study หรือ IHC วิธีการตรวจนี้จะพบว่า ถ้ายีนใดมีความผิดปกติยีนนั้นจะสร้างโปรตีนมากกว่าปกติ เรียกว่า Overexpreassion อีกวิธีหนึ่งคือการตรวจ DNA ซึ่งทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่มีความสำคัญและแม่นยำซึ่งทำให้ทราบถึงลักษณะของความผิดปกติของยีนและบางครั้งสามารถบอกถึงการตอบสนองต่อการรักษาได้อีกด้วย เราเรียกเทคนิคนั้นว่า Molecular Biological Study วิธีนี้สามรถตรวจยีนได้ละเอียดถึงระดับโครงสร้างโมเลกุลและส่วนประกอบของยีน เทคนิคนี้จำเป็นจะต้องมีนักวิทยาศาสตร์ และแพทย์ที่มีความรู้ในด้านนี้โดยเฉพาะ มีความเชี่ยวชาญมีประสบการณ์ในการตรวจวิเคราะห์ข้อมูล การแปลผลและยังสามารถนำผลการตรวจนั้นมาเป็นประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมอีกด้วย
คลินิกมะเร็งพันธุกรรมบำบัด มีการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิวัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า(Molecular Biological Technology) ในการตรวจวิเคราะห์ความผิดปกติของยีนจากเซลล์มะเร็งเพื่อนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งให้ตรงเป้าหมาย (Targeted Therapy) ซึ่งต่างจากการรักษาโรคมะเร็งโดยทั่วๆไปซึ่งการรักษาวิธีนี้จะทำให้การรักษาโรคมะเร็งได้ผลดียิ่งขึ้นและยังไม่มีผลกระทบต่อเซลล์ปกติของร่างกายอีกด้วย
Gene Therapy หรือ พันธุกรรมบำบัด คือ การรักษามะเร็งที่มุ่งเน้นไปยังต้นเหตุของมะเร็ง คือ ยีนที่มีความผิดปกติ โดยจะต้องวิเคราะห์หาความผิดปกติในเซลล์มะเร็งก่อนแล้วให้การรักษาด้วยยาที่มีความจำเพาะต่อยีนที่มีความผิดปกตินั้นๆ
การรักษาแบบพันธุกรรมบำบัด นี้แตกต่างจากการรักษาแบบวิธีเดิม คือ การใช้เคมีบำบัดหรือการทำคีโม ซึ่งเป็นการใช้ยาฆ่าเซลล์มะเร็งทั้งร่างกายไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งเซลล์ปกติในร่างกายจะถูกทำลายไปด้วย
การรักษาในรูปของ Gene Therapy เป็นการให้ยารักษา เพื่อควบคุมการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยาแต่ละชนิดจะออกฤทธิ์เฉพาะเป้าหมายที่ต้องการโดยไม่ทำอันตรายเซลล์ปกติ การออกฤทธิ์อย่างจำเพาะเจาะจงที่ยีนที่ผิดปกตินี้จึงทำให้ยาประเภทนี้มีผลข้างเคียงน้อยกว่า ผู้ป่วยจึงไม่รู้สึกทรมาน ไม่มีอาการผมร่วง อาเจียน อ่อนเพลียเหมือนการทำคีโมซึ่งทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วย ทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตหรือทำกิจรรมทำงานได้อย่างปกติ
"เราภูมิใจที่เราสามารถสร้างความหวังให้กับผู้ป่วยที่หมดหวัง
และสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดอย่างที่ควรจะเป็น"