Q : โรคไส้เลื่อน คืออะไร?
A : คือ ผนังช่องท้องยืดตัวยื่นลงมาที่ขาหนีบและมีอวัยวะภายในช่องท้องยื่นตามมาด้วย เช่น ลำไส้ ผนังกระเพาะปัสสาวะหรือเนื้อเยื่ออื่นๆ
Q : อาการของโรคไส้เลื่อน มีอะไรบ้าง?
A : - มีก้อนบวมบริเวณขาหนีบ บางรายบวมลงมาถึงถุงอัณฑะ บวมมากเวลายืน ไอ จาม ออกแรงและยุบลงเวลานอนราบ
- ส่วนใหญ่ไม่มีอาการปวด ยกเว้น ก้อนมีขนาดใหญ่จะมีอาการปวดตึงเวลายืนและทุเลาปวด เมื่อนอนราบ
- ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องมาโรงพยาบาลทันที คือ ก้อนบวมตึงกดเจ็บ ดันไม่กลับและปวดรุนแรงตลอดเวลา เนื่องจากอวัยวะภายในช่องท้องถูกรัดแน่นในถุงไส้เลื่อน
Q : ข้อดีของผ่าตัดแบบส่องกล้อง คืออะไร?
A : - แผลขนาด 1ซม. 3 แผล บริเวณสะดือและหน้าท้อง
- สามารถแก้ไขไส้เลื่อนได้ทั้ง 2 ข้าง ในแผลผ่าตัดเดียวกัน
- ผ่าตัดโดยดมยาสลบ
- ปวดแผลเล็กน้อย
Q : การผ่าตัดไส้ติ่ง คืออะไร?
A : เป็นการผ่าตัดเพื่อนำไส้ติ่งที่มีการอักเสบออกไป ซึ่งเกิดจากการอุดตันของสิ่งตกค้างบริเวณไส้ติ่ง หรือเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จนทำให้ปวดท้องอย่างรุนแรงบริเวณรอบสะดือลงมาถึงท้องด้านล่างขวา อาจมีอาการอื่นๆ เช่น มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
Q : การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดไส้ติ่ง ทำอย่างไร?
A : 1.กระตุ้นการลุกจากเตียงหลังผ่าตัด 24 ชั่วโมงแรก เพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวเร็วขึ้น
2.งดอาหารและน้ำหลังผ่าตัดวันแรก จนกว่าจะมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ จากนั้นแพทย์จะให้เริ่มจิบน้ำ ถ้าไม่มีอาการท้องอืด จะเริ่มให้อาหารเหลว อาหารอ่อนและอาหารธรรมดาตามลำดับ
3.พยายามหายใจเข้า-ออก ลึกๆและไอถูกวิธี
4.ห้ามเกาแผลหรือกระทบกระเทือนแผล เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบ บวม แดง ได้
5.เวลาไอ ใช้มือประคองแผล ป้องกันแผลแยกและลดความเจ็บปวดแผลได้
6.การรักษาความสะอาดของร่างกายโดยการเช็ดตัว ห้ามให้แผลเปียก หากแผลเปียกน้ำควรเปลี่ยนผ้าปิดแผลทันที
7.การรับประทานยาตามแผนการรักษาของแพทย์
8.การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
9.ป้องกันไม่ให้มีอาการท้องผูก
10.พักผ่อนให้เพียงพอ
11.มาตรวจตามแพทย์นัด
Q : เมื่อไหร่ควรต้องกลับมาพบแพทย์ก่อนนัด?
A : - อาการไม่ทุเลาลง หลังผ่าตัด 2-3 วัน แต่กลับปวดแผลมากขึ้น
- แผลมีหนองหรือน้ำเหลืองซึม
- ขอบแผลผ่าตัดบวมแดงและกดเจ็บ
- มีไข้ เบื่ออาหาร
- ถ่ายเหลวผิดปกติ
- ปวดท้องผิดปกติ